เช็กสภาพแอร์ก่อนขายอย่างไรให้ได้ราคาดีที่สุด

1. ตรวจสอบยี่ห้อและรุ่นของแอร์
ราคาของแอร์เก่าส่วนหนึ่งมาจากความนิยมและความทนทานของแบรนด์ โดยแอร์บางยี่ห้อจะมีราคาดีกว่าเพราะอะไหล่สามารถนำไปใช้ได้ต่อ เช่น
Daikin
Mitsubishi Electric
Panasonic
Samsung
จึงควรตรวจสอบรุ่นให้ชัดเจน ถ่ายป้ายข้อมูล (Nameplate) ส่งให้ร้านเพื่อประเมินได้แม่นยำขึ้น
2. ประเมินสภาพตัวเครื่องภายนอก
แม้จะเป็นแอร์เก่า แต่เครื่องที่สภาพดี มักให้ราคาสูงกว่าแอร์ที่เกิดความเสียหาย เช่น
ตัวถังไม่บุบ ไม่แตก
ไม่มีสนิมกินลึก
คอยล์ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์
การทำความสะอาดภายนอกก่อนถ่ายรูปส่งร้านยังช่วยให้ดูมีมูลค่ามากขึ้นด้ว
3. ตรวจสอบการทำงานของระบบแอร์
หากแอร์ยังใช้งานได้ปกติ ราคาจะสูงกว่าแอร์ที่เสียหรือติดปัญหา
ควรเช็กว่า
แอร์ยังให้ความเย็น
พัดลมไม่ส่งเสียงดัง
ไม่มีน้ำหยด
รีโมทยังใช้ได้
หากเสียบางส่วน ควรแจ้งร้านตรงๆ จะช่วยให้ประเมินราคาได้รวดเร็ว
4. ตรวจสอบขนาด BTU ให้ถูกต้อง
ขนาด BTU มีผลโดยตรงต่อราคา แอร์ขนาดใหญ่ เช่น 18,00024,000 BTU มักมีราคาสูงกว่าแอร์ขนาดเล็ก
คุณสามารถดู BTU ได้จากสติ๊กเกอร์หน้าเครื่อง หรือป้ายข้อมูลที่ตัวคอยล์เย็น
5. ถ่ายรูปและส่งข้อมูลให้ร้านประเมินล่วงหน้า
เพื่อไม่ให้เสียเวลาและได้ราคาที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด ควรส่งข้อมูลเหล่านี้ให้ร้านรับซื้อ:
รูปคอยล์ร้อนและคอยล์เย็น
รูปป้ายชื่อรุ่น
ปีที่ติดตั้ง
อาการเสีย (ถ้ามี)
การให้ข้อมูลครบถ้วนจะช่วยให้ร้านเสนอราคาสูงขึ้น เพราะประเมินความเสี่ยงได้ง่าย
6. เลือกร้านรับซื้อที่รับถึงบ้านและให้ราคาตามจริง
ปัจจุบันมีร้านรับซื้อแอร์หลายเจ้า ควรเลือกเจ้า ที่
ให้ราคาตามจริง ไม่มีหักหน้างาน
มีบริการถอดแอร์ฟรี
ชำระเงินสดหน้างาน
รีวิวดี น่าเชื่อถือ
ร้านที่มีมาตรฐานมักให้ราคาสูงกว่าเพราะต้องการเครื่องไปรีไซเคิลหรือใช้อะไหล่ต่ออย่างคุ้มค่า
สรุป
การขายแอร์เก่าให้ได้ราคาสูงไม่ใช่เรื่องยาก เพียงตรวจสอบสภาพแอร์ให้รอบด้าน เตรียมข้อมูลให้พร้อม และเลือกร้านรับซื้อที่เชื่อถือได้ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเปลี่ยนแอร์เก่าเป็นเงินสดได้อย่างคุ้มค่า และได้ราคาดีที่สุด


